อาถรรพ์ “วังหน้า”
คำร่ำลืออาถรรพ์ “วังหน้า” กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ ตรัสสาปแช่ง
ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม 2554 |
---|---|
ผู้เขียน | ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย |
เผยแพร่ | 7มีนาคม2565 |
“–ของใหญ่ของโตของกูดี ๆ ของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุนอุดหนุน กูสร้างขึ้นด้วยกำลังข้าเจ้าบ่าวนายของกูเอง นานไปใครไม่ใช่ลูกกู เข้ามาเป็นเจ้าของครอบครองขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข–”
เป็นพระราชดำรัสของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ขณะประชวรเสด็จประทับบนเสลี่ยงบรรทมพิงพระเขนย ให้มหาดเล็กเชิญเสด็จทอดพระเนตรรอบ ๆ พระราชวังบวรสถานมงคลซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นด้วยความคิดและเรี่ยวแรงของพระองค์เอง
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นสมเด็จพระอนุชาธิราชในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงร่วมกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกู้เอกราชของชาติจากพม่า และร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีใหม่ ขณะนั้นบ้านเมืองกำลังตกอยู่ในภาวะยุ่งยากและอันตราย เพราะทั้งต้องสร้างเมืองใหม่และทำสงครามกับพม่าซึ่งพยายามที่จะกลับมามีอำนาจเหนือไทยอีก
ท่ามกลางความยากลำบากนั้น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในตำแหน่งพระมหาอุปราช ได้โปรดสถาปนา “พระบวรราชวัง” ขึ้นในบริเวณที่เคยเป็นพระนิเวศเดิมแต่ครั้งยังเสด็จดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ ทรงสร้างพระบวรราชวังนี้อย่างยิ่งใหญ่และประณีตบรรจง ด้วยหวังจะได้ทรงอยู่อย่างเป็นสุขในบั้นปลายพระชนมชีพ
แต่การณ์ก็มิได้เป็นอย่างที่ทรงหวัง เพราะหลังจากดำรงพระยศกรมพระราชวังบวรฯ ได้ 21 ปี พระชนมายุได้ 60 พรรษา ก็ประชวรพระโรคนิ่ว เล่ากันว่าทรงทั้งห่วงและหวงพระบวรราชวังที่โปรดให้สร้าง เมื่อเวลาประชวรหนักอยู่นั้นได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานต่อสมเด็จพระเชษฐา ให้พระโอรสธิดาของพระองค์ได้ประทับอยู่ในวังหน้าต่อไปแต่ก็มีเรื่องเล่าลือให้ถึงพระเนตรพระกรรณว่า กรมพระราชวังบวรฯ ได้ออกพระโอษฐ์ตรัสสาปแช่งขณะประชวรและเสด็จทอดพระเนตรรอบ ๆ วังว่า
“–ของเหล่านี้ กูอุตส่าห์ทำด้วยความคิดและเรี่ยวแรงเป็นหนักหนา หวังจะอยู่ชมนาน ๆ ก็ไม่ได้ชม ของใหญ่ของโตของกูดี ๆ ของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุนอุดหนุน กูสร้างขึ้นด้วยกำลังข้าเจ้าบ่าวนายของกูเอง นานไปใครไม่ใช่ลูกกู เข้ามาเป็นเจ้าของครอบครองขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข–“
เมื่อสมเด็จพระราชวังบวรฯ เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลแทน ครั้งนั้นคุณเสือพระสนมเอกได้กราบทูลขอให้เชิญเสด็จกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์ใหม่ไปประทับ ณ พระบวรราชวังแทน แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ไม่ทรงเห็นด้วยเพราะทรงรำลึกถึงคำตรัสสาปแช่ง จึงมีพระราชดำรัสว่า “–ไปอยู่บ้านช่องของเขาทำไม เขารักแต่ลูกเต้าของเขา ๆ แช่งเขาชักไว้เป็นหนักเป็นหนา–“ โปรดให้กรมพระราชวังบวรฯ ใหม่ประทับอยู่ที่พระราชวังเดิมจนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ
ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เป็นกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ พระดำรัสสาปแช่งยังเป็นสิ่งที่ทุกคนเกรงกลัว พยายามหาทางเลี่ยงพระดำรัสสาป โดยทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยเป็นการผ่อนปรนเลี่ยงพระดำรัสสาปอย่างแยบยล
ครั้งแรกทรงตั้งพระทัยจะอภิเษกกับเจ้าฟ้าหญิงพิกุลทอง พระธิดาซึ่งประสูติแต่เจ้าศิริรดจา พระขนิษฐาของพระเจ้ากาวิละเมืองเชียงใหม่ แต่เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้สิ้นพระชนม์เสียก่อน จึงทรงอภิเษกกับพระธิดาพระองค์อื่นขององค์เจ้าของวังแทน กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ดำรงพระยศเป็นกรมพระราชวังบวรได้เพียง 8 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้เพียง 44 พรรษา และในรัชสมัยนี้ก็มิได้ทรงแต่งตั้งท่านผู้ใดเป็นกรมพระราชวังบวรฯ แทนจนสิ้นรัชกาล
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดแต่งตั้งกรมหมื่นศักดิพลเสพ (พระองค์เจ้าอรุโณทัย พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1) ซึ่งเป็นพระปิตุลารุ่นเล็ก มีพระชันษาใกล้เคียงกับพระองค์ให้เป็นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรฯ พระองค์นี้ก็ทรงใช้วิธีผ่อนปรนเลี่ยงพระดำรัสสาปด้วยการอภิเษกสมรสกับพระองค์เจ้าดาราวดี พระธิดากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย ทรงอยู่ในตำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯ ได้เพียง 8 ปี ก็เสด็จสวรรคต
เมื่อพระชนมายุได้เพียง 47 พรรษา และมิได้ทรงแต่งตั้งพระราชวงศ์พระองค์ใดเป็นกรมพระราชวังบวรฯ จนสิ้นรัชกาล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจุธามณีกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯ แต่โปรดให้เพิ่มพระเกียรติยศเทียบเท่าพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีวิธีผ่อนปรนเลี่ยงพระดำรัสสาปด้วยการโปรดให้พราหมณ์ทำพิธีฝังอาถรรพ์ใหม่ทุกป้อมทุกประตูรวม 80 หลัก ก่อนที่จะโปรดให้สร้างพระราชมณเฑียรพระที่นั่ง และพระตำหนักต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับ ณ พระบวรราชวัง 18 ปี จึงเสด็จสวรรคต
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติตั้งแต่พระชนมายุเพียง 15 พรรษา สมเด็จเจ้าพระยาบรมมาหาศรีสุริยวงศ์ในฐานผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน รวบรัดแต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ มีเรื่องเชื่อกันว่าเป็นอาถรรพ์ของวังหน้าอีกครั้ง เมื่อเกิดความขัดแย้งกันระหว่างวังหลวงกับวังหน้า ซึ่งหากเหตุการณ์ยืดเยื้อต่อไปอาจร้ายแรงถึงเสียเอกราชให้แก่จักรวรรดินิยมตะวันตก กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญอยู่ในตำแหน่ง 15 ปี จึงทิวงคต ทำให้ยิ่งตอกย้ำความเชื่อว่า ตำแหน่งวังหน้านี้มีอาถรรพ์อันเกิดจากพระดำรัสสาปแช่งของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักพระทัยถึงปัญหายุ่งยากที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงโปรดให้เลิกตำแหน่งนี้ และโปรดสถาปนาตำแหน่งรัชทายาทใหม่คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารขึ้นแทน เรื่องราวของความเชื่อเกี่ยวกับพระดำรัสที่ว่า “–ของใหญ่ของโตของกูดีๆ ของกูสร้าง–ใครไม่ใช่ลูกกู เข้ามาเป็นเจ้าของครอบครองขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข–“ ก็เสื่อมคลายสูญสิ้นไปตั้งแต่ครั้งนั้น