สถานที่เที่ยวทั่วโลก มหัศจรรย์
สถานที่เที่ยวทั่วโลก มหัศจรรย์จนคุณต้องว้าว
Photo credit: http://de.wallpaperswiki.org/the-wave-arizona
The Wave – Arizona
สวรรค์ของนักถ่ายภาพที่ธรรมชาติสร้างให้แห่งนี้ ชื่อว่า “The Wave” ตั้งอยู่กลางทะเลทรายบริเวณพรมแดนระหว่างรัฐ Utah และ Arizona เห็นสีสันสะดุดตาแบบนี้ แท้ที่จริงแล้ว The Wave คือเขาหินทรายที่ถูกแรงลมกัดกร่อน เหมือนเกลียวคลื่นสีเหลืองส้มสุดร้อนแรง
รูปร่างแปลกตาของเนินเขาหินทราย และสีสันจัดจ้านตัดกับท้องฟ้าใส ๆ นี่เองทำให้นักท่องเที่ยวต้องหลงเสน่ห์ The Wave แต่การจะได้เข้าไปยลโฉมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทางการจะออกใบอนุญาตให้เข้าชม (Hiking Permit) เพียง 20 คนต่อวันเท่านั้น นอกจากนี้ การเดินทางเข้าไปชมโฉมหินเกลียวคลื่น ต้องเดินเท้าผ่านทะเลทรายซึ่งมีระยะทางไปกลับกว่า 10 กม. ถึงอย่างนั้น นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่รักการถ่ายภาพก็ใฝ่ฝันจะมาที่นี่สักครั้งในชีวิต
The Wave เหมาะมากที่จะไปช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นมิถุนายน และช่วงปลายกันยายนถึงต้นพฤศจิกายน เพราะเป็นฤดูร้อนมีแสงเจิดจ้าจากพระอาทิตย์เป็นตัวช่วย เหมาะกับการได้ภาพสวย ๆ ลองจินตนาการถึงเกลียวคลื่นสีจัดจ้านตัดกับท้องฟ้าสวยสดของฤดูร้อน ที่นี่คงเป็นหนึ่งในที่เที่ยวรอบโลกที่ทำให้คุณประทับใจไม่รู้ลืม เริ่มอยากจัดกระเป๋า สะพายกล้อง ออกเดินทางฝ่าทะเลทรายมาที่นี่กันแล้วใช่ไหม งั้นลุยเลย

เขายอดแบนสูงเสียดฟ้าแห่งนี้ เป็นลักษณะเฉพาะของภูเขาซึ่งเกิดจากชั้นหินหลายชนิด ที่ทนต่อการกัดเซาะผุพังไม่เท่ากัน เรียงตัวซ้อนกันในแนวราบ ซึ่งการสึกกร่อนของหินทำให้ไหล่เขาชันขึ้นไปตามความสูง แต่ยอดเขาจะมีลักษณะแนวราบคล้ายโต๊ะ และมีดินเพียงนิดเดียวเท่านั้นบนยอดเนื่องจากถูกน้ำฝนชะล้างไปหมด
เมาท์ โรไรมา จะสวยมากขึ้น เมื่อถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก ที่จะทำให้นักท่องเที่ยว รู้สึกราวกับว่ากำลังล่องลอยอยู่ในดินแดนแห่งความฝันอยากรู้ว่าความรู้สึกแบบนั้นดีแค่ไหน ออกเดินทางไปสัมผัสความมหัศจรรย์ที่ท้าทายนี้ด้วยตัวเองกันเถอะ!

แม้ปราสาทแห่งนี้จะมีขนาดเล็กหากเทียบกับปราสาทอื่นในสกอตแลนด์ แต่จุดเด่นของที่นี่ไม่น้อยหน้าปราสาทงาม ๆ หลังอื่นแน่นอน เพราะที่ตั้งของปราสาทแห่งนี้โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ บรรยากาศรอบปราสาทก็เงียบสงบและสวยงาม ทำให้ Eilean Donan เป็นหนึ่งในปราสาทที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดในสกอตแลนด์ ที่สำคัญยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในปราสาทที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของโลก จนถูกนำไปใช้เป็นฉากในหนังเรื่อง Highlander และ James Bond ภาค “The World Is Not Enough” อีกด้วย ใครอยากมีประสบการณ์ใกล้เคียงเทพนิยายในวัยเด็ก ปราสาทเล็ก ๆ แห่งนี้ตอบโจทย์จินตนาการของคุณได้ รับรองว่าที่แห่งนี้จะเก็บเกี่ยวความทรงจำยิ่งใหญ่ให้คุณแน่นอน เวลาให้บริการ
เวลาให้บริการ
1 มีนาคม – 31 ตุลาคม ทุกวันเวลา 10.00 – 18.00 (Last Admission 17.00)
หมายเหตุ: เวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยในบางวัน
การซื้อตั๋ว: สามารถซื้อตั๋วได้ที่หน้าทางเข้าปราสาท
eileandonancastle.com
Atlantic Ocean Road – Norway
ถ้าอยากสัมผัสความสวยสุดท้าทาย ความคดเคี้ยวทอดยาวข้ามมหาสมุทรสีคราม ต้องยกให้ถนนสายนี้ “Atlantic Ocean Road”
Photo credit: http://traveljunkiediary.com/atlantic-ocean-road-norway
Atlantic Ocean Road ถนนที่ตัดข้ามทะเลแอตแลนติก มีความยาวทั้งสิ้น 8.3 กิโลเมตร ในเมืองคริสเตียนซุนด์ ประเทศนอร์เวย์ ขึ้นชื่อเรื่องของโครงสร้างและทัศนียภาพ แถมยังติดอันดับทิวทัศน์ที่สวยที่สุดในโลกอีกด้วย เพราะถนนสายนี้ทอดยาวไปตามเกาะแก่งต่าง ๆ ทำให้ขณะที่ขับรถผ่าน คุณจะรู้สึกราวกับกำลังแทรกผ่านผืนน้ำทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แถมได้เห็นวิถีความเป็นอยู่ของชุมชนเล็ก ๆ บริเวณชายฝั่งเมืองคริสเตียนซุนด์ไปจนถึงเกาะโมลเดอีกด้วย จุดที่สูงและสวยจับใจของถนนสายนี้อยู่ที่สะพาน Storseisundet ที่มีโครงสร้างออกแบบเป็นเส้นโค้ง ให้ความรู้สึกกลมกลืนไปกับเกลียวคลื่นและผืนมหาสมุทร เรียกว่าสร้างได้ลงตัวกับทัศนียภาพที่รายล้อมเป็นอย่างมาก ในยามที่เกิดพายุ คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์น่าตื่นเต้น คล้ายอยู่ในเครื่องเล่น Rollercoaster เพราะจะได้เห็นกระแสคลื่นซัดเป็นเกลียวขนาบถนน หรือเมื่อท้องทะเลสงบลง ก็จะได้สัมผัสอีกบรรยากาศ หากโชคดีอาจได้เห็นแมวน้ำลายจุดผ่านมาทักทายให้คุณได้เก็บภาพก็ได้ แต่ในความสวยงามของถนนสายนี้ ก็มีข้อควรระวัง เพราะบางจุดที่สูงชันสลับระดับคดเคี้ยว นั้นค่อนข้างอันตราย การขับขี่บนถนนสายสวยๆ เส้นนี้ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ใครที่ชอบความท้าทายหวาดเสียว อยากสัมผัสประสบการณ์ประทับใจที่ Atlantic Ocean Road แนะนำให้มาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเพื่อที่จะได้สัมผัสพายุโหมกระหน่ำถนนอย่างดุเดือด ดูน่าหวาดเสียวระทึกสมใจ ใครเห็นภาพแล้วอดใจไม่ไหว รีบหาวันหยุดยาวแล้วออกเดินทางไปเก็บความท้าทายในชีวิตกันดีกว่า
Capilano Suspension Bridge – Canada
สะพานแขวนคาพิลาโน หนึ่งในสถานที่ที่จะทำให้คุณได้สัมผัสผืนป่าอันลึกลับจากมุมมองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สะพานแขวนนี้เป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ตั้งอยู่ยอดต้นไม้ที่อยู่รอบตัว ด้วยความยาว 450 ฟุต (137 เมตร) และอยู่สูงเหนือแม่น้ำคาพิลาโน 230 ฟุต (70 เมตร)
Photo credit:https://www.flickr.com/
https://500px.com/photo/843509/capilano-suspension-bridge-by-michelle-lee
เห็นเป็นสะพานที่สวย แข็งแรง และโมเดิร์นแบบนี้ แต่ในช่วงแรกนั้น โครงสร้างของสะพานไม่มั่นคง โดยทำมาจากวัสดุอย่างแผ่นกระดาน ไม้สน และเชือกปอ ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1889 โดยวิศวกรโยธาชาวสก็อตแลนด์ จอร์จ แกรนท์ แม็คเคย์ เพื่อทำทางเดินเชื่อมไปยังป่า หลังจากนั้น จึงเปลี่ยนจากเชือกปอมาใช้สายเคเบิลเหล็กแทน ซึ่งมีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักที่มากกว่า 1,300 คนได้ และได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดขึ้นชื่อของแวนคูเวอร์ในเวลาต่อมา สะพานแห่งนี้โดดเด่นด้วยทิวทัศน์รอบด้านซึ่งเป็นป่าสูง เขียวชอุ่ม และสวยงามชนิดที่จินตนาการได้ยาก นอกจากนั้น คุณจะได้เดินไปตามเส้นทางเดินป่าอันประกอบด้วยคลิฟวอร์คที่เป็นทางเดินริมหน้าผา จุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ล่าสุดของที่นี่ สะพานแขวนนี้ยื่นออกมาจากหน้าผาแกรนิตและเชื่อมต่อไปยังเขตป่าฝน ทำให้ตรงนี้สามารถมองเห็นหุบเขาลึกจากบนสะพานได้ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว ช่วงที่เป็นจุดที่สูงที่สุดของทางเดิน ถูกบุด้วยแผ่นกระจกใสเพื่อให้นักท่องเที่ยวมองเห็นยอดของต้นไม้ที่อยู่ใต้เท้าแค่เพียงปลายนิ้ว นอกจากนั้นคุณยังมีโอกาสได้ร่วมทัวร์ป่าฝนไปกับไกด์ และเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคนท้องถิ่นและผืนป่า ทั้งหมดที่เล่ามาการันตีว่าสถานที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลก ที่คุณน่าจะไปให้ได้สักครั้งในชีวิต
Photo credit:http://www.worldofbuzz.com/13-mind-blowing-natural-wonders-to-see-in-the-world
Carrera Lake – Argentina
ใครเบื่อทะเล เรามีทะเลสาบให้คุณไป ที่ที่คุณจะลืมน้ำทะเลใสๆ หาดทรายขาวชั่วขณะหนึ่ง เพราะทะเลสาบ Carrera แห่งนี้ มีถ้ำมหัศจรรย์ที่น่าตื่นตาตื่นใจซ่อนอยู่ ที่นี่คือถ้ำหินอ่อนเจิดจรัสอยู่ในทะเลสาบการ์เรรา (General Carrera) สวยจนใคร ๆ ก็คิดว่าหลุดออกมาจากจินตนาการของศิลปินคนไหนหรือเปล่า
ถ้ำหินอ่อนนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของทะเลสาบการ์เรรา (General Carrera) ทะเลสาบขนาดใหญ่ในภูมิภาคปาตาโกเนีย (Patagonia) ภูมิภาคใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ โดยทะเลสาบนี้อยู่ระหว่างชายแดนของอาร์เจนตินาและชิลี เป็นถ้ำที่เกิดจากกระแสน้ำกัดเซาะเป็นระยะเวลานับล้านปี จนภูเขาหินอ่อนเกิดเป็นถ้ำหินอ่อนที่ไม่เหมือนถ้ำแห่งใดในโลก ที่นี่ตอบโจทย์คำว่ามหัศจรรย์แห่งธรรมชาติได้ดีเยี่ยม คุณจะตะลึงกับความวิจิตรของหินอ่อน หลายรูปทรงที่แข่งกันสะท้อนผืนน้ำทะเลสาบเป็นประกาย
Photo credit:http://www.travelmagma.com/argentina/don’t-miss-places-in-argentina/
Iguaza Falls – Argentina
อลังการยิ่งกว่าน้ำตกใด คือหนึ่งในมรดกโลก สำหรับน้ำตก Iguazu (อีกัวซู) Iguazu แปลว่า สายน้ำอันยิ่งใหญ่ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากสุดในอเมริกาใต้ น้ำตกแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยี่ยมชมความยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่ขาดสาย ด้วยความตระการตาของม่านน้ำอันทรงพลัง ไม่มีวันหมดแรง ใครคิดว่าน้ำตก Niagara สูงสุดใจ น้ำตก Iguazu แห่งนี้ สูงยิ่งกว่า
Iguazu Falls แบ่งตามระดับความสูง-ต่ำของแม่น้ำ Iguazu โดยฝั่งขวาอยู่ในเขตรัฐ Parana ประเทศบราซิล ฝั่งซ้ายอยู่ที่ Misiones ประเทศอาร์เจนตินา ที่นี่ประกอบด้วยน้ำตกน้อยใหญ่กว่า 270 แห่ง แต่ละแห่งมีความยาวมากกว่า 1 ไมล์ และความสูงอยู่ที่ 200 ฟุต ถ้าลองมองมุมกว้างจะรู้สึกได้เลยว่ามนุษย์เรานั้นตัวนิดเดียวจริง ๆ เมื่อเทียบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ด้วยความอลังการเป็นที่สุดของ Iguazu นี้ หนึ่งในน้ำตกบริวารที่ชื่อ The Devil’s Throat มีลักษณะเป็นตัวยู (U) สูงเกือบ 5,000 ฟุต และยาวกว่า 2,000 ฟุต ทั้งสูง สวย มีพลังมาก มักเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า หากตกลงไปในน้ำตกแห่งนี้ คงเหมือนถูกปีศาจเขมือบกลืนหายไป อาจฟังดูน่ากลัว แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะที่นี่มีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัย ให้เราได้ชมม่านน้ำอันอลังการแบบปลอดภัยสุดๆ ด้วยองค์ประกอบน่าทึ่งของหนึ่งในมรดกโลกอย่าง Iguazu จึงทำให้ที่นี่ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลกในฝันของนักท่องเที่ยวที่หลงใหลธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ใครชมภาพแล้วไม่จุใจ ต้องเดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว
Hitachi Seaside Park, Ibaraki – Japan
ใครเห็นดอกไม้เป็นไม่ได้ ต้องวิ่งเข้าไปชื่นชม หรือเก็บภาพ คุณเหมาะกับสถานที่แห่งนี้สุดๆ “ สวนฮิตาชิ !”
Photo credit: http://www.mapio.cz/a/113431805
สวน Hitachi (Hitachi Seaside Park) อาณาจักรดอกไม้ที่เรากำลังพูดถึง เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองฮิตาชินากะ จังหวัดอิบารากิ ประเทศญี่ปุ่น พื้นที่ในสวนสูงต่ำสลับพื้นราบ และเนินเขาเล็ก ๆ เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ตามฤดูกาล มีของแถมเป็นวิวทะเลแปซิฟิกสุดสวยสุดสายตา นอกจากทุ่งดอกไม้หลากสีสันในบรรยากาศที่ต่างกันของงสี่ฤดู สวนฮิตาชิ ยังมีโซนอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์คุณได้ครบ ทั้งโซนสวนต้นไม้ เนินทะเลทรายชื่อดัง และโซนสวนสนุกที่เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่เด็ก ๆ และยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ให้ผู้ที่มาเยือนพักผ่อนหย่อนใจตามสะดวก นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ลองมากมายเช่น การปั้นถ้วยชามดินเผา การรำไทเก๊ก การปิ้งบาร์บีคิว ทีเด็ดของสวนแห่งนี้ หนีไม่พ้นดอกไม้อย่างแน่นอน แต่ทุ่งดอกไม้ที่สวยเด็ด คงต้องยกให้พุ่มไม้น่ารัก ชื่อว่า Kokia ซึ่งเจ้าพุ่มไม้นี้ทำให้สวนฮิตาชิโด่งดังเป็นพลุแตกเลยทีเดียว โดยไม้พุ่มสามารถเปลี่ยนสีได้ 3 สี ตามช่วงเวลา ช่วงหน้าร้อนพุ่มไม้จะเป็นสีเขียว ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ต่อมากลายเป็นทุ่งสีเหลือง พอฤดูใบไม้ร่วงกลายเป็นทุ่งทองสีน้ำตาล จนที่สุดแล้วเมื่อพุ่มไม้ Kokia แห้งตัวลง จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อ ด้วยการนำมามัดรวมกันเป็นไม้กวาด เรียกว่าสวยอย่างมีคุณค่าจริง ๆ กระซิบบอกนิดหนึ่งว่า ถ้าใครอยากดูพุ่มไม้ Kokia ช่วงที่มันเป็นสีแดงตัดกับฟ้าสีฟ้าสดใส ต้องไปช่วงเดือน ต.ค. เท่านั้น อาจต้องเช็คช่วงการเดินทางดีๆ หน่อย เพราะช่วงที่เป็นสีแดงมีระยะเวลาค่อนข้างสั้น แต่ถ้าเพื่อน ๆ จะแพลนการเดินทางตอนนี้ก็ยังทัน มีสิทธิ์ได้เก็บภาพพุ่มไม้น่ารัก ๆ สีแดงได้เต็มอิ่มแน่นอน
Photo credit:https://woflblog.wordpress.com/2013/02/08/the-igloo-village-of-hotel-kakslauttanen-finland
Glass Igloo Village Hotels – Finland
มองหาที่พักแปลกใหม่สุดโรแมนติก ที่ที่คุณสามารถนอนดูดาวระยิบระยับได้สบาย ๆ ปักหมุดที่นี่ไว้ได้เลย Glass Igloo Village Hotels ประเทศฟินแลนด์
ถ้าเบื่อที่พักแบบรีสอร์ต หรือคอนโดสูง เรามีที่พักเป็นกระท่อมมานำเสนอ แต่กระท่อมที่ว่าไม่ใช่กระท่อมธรรมดาแน่นอน เพราะกระท่อมแห่งนี้คือ กระท่อมน้ำแข็งแก้วหรือคอทเทจอันลือลั่น โด่งดังด้วยเอกลักษณ์ที่สร้างความประทับใจให้ผู้มาเยือนมานับไม่ถ้วน กระท่อมน้ำแข็งที่เห็น ทำมาจากแก้วกันร้อน ช่วยให้คุณอบอุ่นแม้ในสภาพอากาศหนาวเหน็บ กระท่อมทุกหลังเพียบพร้อมด้วยความสะดวกครบครัน ทั้งเตียงสุดหรู ห้องสุขาส่วนตัว ส่วนห้องน้ำเป็นแบบใช้ร่วมกัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการปรุงอาหารเสร็จสรรพ แถมด้วยพื้นที่นั่งเล่นและเตาผิง ตบท้ายด้วยห้องซาวน่าควันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่นี่มีห้องอาหาร 4 แห่ง รวมอีก 2 แห่งในกระท่อมชาวแลปแลนด์ ห้องอาหารแต่ละแห่งให้บริการอาหารแลปแลนด์สุดพิเศษ เช่น เนื้อกวางเรนเดียร์ และแซลมอนย่างถ่าน นอกจากนี้ ภายในห้องซาวน่าควันก็ยังมีห้องอาหารอีกหนึ่งแห่งชื่อ Savusauna อีกด้วย เพื่อให้คุณเลือกอกว่าอยากลิ้มรสอาหารแบบดั้งเดิมหรืออร่อยแบบสากล นอกจากนี้คุณยังสามารถเช่าสกีสำหรับเส้นทางข้ามประเทศ ไม้เท้าสำหรับการเดินสกีสไตล์นอร์ดิก และรองเท้าหิมะ เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศของหิมะอย่างแท้จริง มีพนักงานอำนวยความสะดวกในการจัดเตรียมซาฟารีสุนัขลากเลื่อนและซาฟารีเรนเดียร์ ตลอดจนการตกปลาในน้ำแข็ง ซึ่งห่างจากที่พักออกไปเพียง 5 กิโลเมตร ตกค่ำก็เข้ากระท่อม นอนมองดาวบนฟ้า ท่ามกลางบรรยากาศหิมะที่ปกคลุม แต่อุ่นสุด ๆ ในกระท่อมแก้ว นับเป็นอีกสถานที่เที่ยวที่น่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว
Chefchaouen – Morocco
นครสีฟ้าแสนน่ารัก ความมหัศจรรย์ในหุบเขาริฟ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโมร็อคโค ใครที่หลงใหลความเรียบง่าย แต่ซ่อนไว้ซึ่งความพิเศษ คุณคงมองข้ามเมืองเชฟชาอูน(Chefchaouen)ไปไม่ได้แล้ว
Photo credit: http://unique-vacation.com/es/chauen
เมืองเล็ก ๆ โทนสีฟ้าขาวสบายตา ตั้งอยู่ใน หุบเขาริฟ (Rif Mountain หรือ Er-Rif) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโมร็อคโค ที่นี่ เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานกว่า 538 ปี นักท่องเที่ยวที่มาต้องหลงใหลในอากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมือง จนใคร ๆ ก็กล่าวว่า ไม่ว่าจะเหนื่อยล้ามาจากที่ไหน หากได้เข้ามาเยือนเมืองแห่งนี้ คุณจะรู้สึกผ่อนคลายและหายเหนื่อย ความเรียบง่าย น่ารัก ตึกรามบ้านช่องสีฟ้า – ขาว มองแล้วสดใส สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ไปเยือนได้เป็นอย่างดี เชฟชาอูนเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่คุณสามารถเดินชมบ้านเรือนทั่วเมืองได้ไม่ยาก สถาปัตยกรรมที่นี่เป็นแบบโมร็อกโคแท้ ๆ มีซุ้มประตูโค้งที่ตกแต่งให้เห็นเป็นสีสันได้ทั่วเมือง นอกจากนั้น ยังมีน้ำพุที่ปูด้วยกระเบื้องโมเสกในบางมุมอีกด้วย ถึงที่นี่อาจไม่ตระการตาด้วยแสงสีทันสมัย แต่เชฟชาอูนก็มีจุดเด่นขื้นชื่อเรื่องหัตถกรรมของฝาก เช่น ผ้าทอ ตะเกียงหรือโคมไฟแบบโมร็อคโค ผลิตภัณฑ์จากมะกอกและชีสสด ของพื้นเมือง รวมถึงเครื่องนุ่งห่มและผ้าห่มที่ทำจากขนแกะ หรือแม้แต่ของทำมือเก๋ ๆ เป็นเอกลักษณ์อีกมากมาย ได้เวลาของคนรักสีฟ้าที่จะออกเดินทางไปเยือนเชฟชาอูน “สวรรค์ของคนรักสีฟ้า” เพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับชีวิตแล้ว
ที่มาcigna.co.th